วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

 
 ปลากระเบนราหูน้ำจืด (อังกฤษ: Giant freshwater whipray; ชื่อวิทยาศาสตร์: Himantura chaophraya) เป็นปลากระเบนน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae)
จัดเป็นปลากระเบนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากปลากระเบนแมนตา (Manta spp.) ที่พบได้ในทะเล โดยสามารถหนักได้ถึง 600 กิโลกรัม กว้างได้ถึง 2.5-3 เมตร ซึ่งเป็นปลากระเบนชนิดที่มีหางเรียวยาวเหมือนแส้ ได้ชื่อว่า "ราหู" เนื่องจากขนาดลำตัวที่ใหญ่เหมือนราหูอมจันทร์ตามคติของคนโบราณ มีลักษณะส่วนปลายหัวแหลม ขอบด้านหน้ามนกลมคล้ายใบโพ ลักษณะตัวเกือบเป็นรูปกลม ส่วนหางยาวไม่มีริ้วหนัง มีเงี่ยงแหลมที่โคนหาง 2 ชิ้น ซึ่งในปลาขนาดใหญ่อาจยาวได้ถึง 8-10 นิ้ว เมื่อหักไปแล้วสามารถงอกขึ้นได้ กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ด้านบนของปีกและตัวเป็นสีเทาหรือน้ำตาลนวล หางสีคล้ำ ด้านล่างของตัวมีสีขาวนวล ที่ขอบปีกด้านล่างเป็นด่างสีดำ อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ จนถึงบริเวณใกล้ปากแม่น้ำ พบครั้งแรกในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงถูกตั้งชื่อชนิด ว่า "เจ้าพระยา" และยังพบในแม่น้ำสายอื่น ๆ เช่น แม่น้ำแม่กลอง, บางปะกง, แม่น้ำโขง, บอร์เนียว, นิวกินี จนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ
โดยปลาตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ และอาจมีน้ำหนักที่มากกว่าได้ถึง 80 เท่า เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว โดยลูกปลาที่ออกมาใหม่นั้นจะมีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 50 เซนติเมตร และมีปลอกหุ้มเงี่ยงหางเอาไว้ เพื่อมิให้ทำอันตรายต่อแม่ปลา ออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว สันนิษฐานว่าที่ต้องมีขนาดตัวใหญ่เช่นนี้ พื่อมิให้ตกเป็นอาหารของนักล่าชนิดต่าง ๆ ในแม่น้ำ



 
 ปลากระเบนกิตติพงษ์ หรือ ปลากระเบนแม่กลอง ปลากระเบนน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura kittipongi อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระเบนในวงศ์นี้ทั่วไป ต่างกันที่ด้านหลังจะมีสีน้ำตาลเข้มอมเหลือง รอบวงของลำตัว หาง ช่องหายใจ ช่องเหงือกและขอบด้านล่างของตัวเป็นสีคล้ำ ส่วนลำตัวมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 60 เซนติเมตร และจำนวนของฟันซึ่งมีลักษณะเป็นซี่เล็ก ๆ บริเวณขากรรไกรล่างมีจำนวนมากถึง 14-15 แถว
ค้นพบตัวอย่างตัวแรกโดย นายกิตติพงษ์ จารุธาณินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2545 จากนั้นในปี พ.ศ. 2547 ได้ศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลทางอนุกรมวิธานโดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทยแห่งกองทุนสัตว์ป่าโลก และ ดร.ไทสัน อาร์. โรเบิร์ตส์ และได้ตั้งชื่อชนิด ตามชื่อของผู้ค้นพบ
เท่าที่ศึกษา แหล่งอาศัยของกระเบนชนิดนี้มีหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ คือ ปริเวณปากแม่น้ำแม่กลองแถบจังหวัดกาญจนบุรี แม่น้ำน่าน และแม่น้ำปาหัง ประเทศมาเลเซีย โดยชาวบ้านในจังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า "ปลากระเบนเหลือง"





 
 ปลากระเบนบัว (อังกฤษ: Whitenose whipray, Bleeker's whipray; ชื่อวิทยาศาสตร์: Himantura uarnacoides) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) เป็นปลากระเบนที่อยู่ในน้ำจืดชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายปลาในวงศ์ปลากระเบนธงทั่วไป แต่มีจะงอยปากที่ยื่นแหลมกว่า พื้นลำตัวสีนวล กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ด้านล่างสีขาว หางยาวได้กว่า 80 เซนติเมตร โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่เมื่อหักหรือหลุดไปแล้วสามารถงอกใหม่ได้ ไม่มีแผ่นหนังที่หาง ขนาดลำตัวกว้างโดยเฉลี่ย 40 เซนติเมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่หนักได้ถึง 50 กิโลกรัม หากินตามพื้นท้องน้ำโดยอาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดิน, และสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง
เป็นปลาที่พบน้อย โดยพบแต่เฉพาะบริเวณปากแม่น้ำในภาคใต้ และพบที่ทะเลสาบสงขลาตอนในที่เป็นส่วนของน้ำจืด แต่มีรายงานว่าเคยพบที่แม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
ตัวมีลักษณะกลมเหมือนใบบัว จึงเป็นที่มาของชื่อ
ปลากระเบนบัว มีชื่อเรียกหนึ่งเป็นภาษาใต้ว่า "ปลากระเบนหัวเลี่ยม" แปลว่า "ปลากระเบนหัวแหลม"






 
ปลากระเบนธง หรือ ปลากระเบนชายธง (อังกฤษ: Cowtail stingray; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pastinachus sephen) ปลากระเบนชนิดหนึ่ง ที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเลได้ อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเป็นทรงกึ่งสี่เหลี่ยมดู คล้ายชายธง จึงเป็นที่มาของชื่อ โดยความกว้างของลำตัวจะมีมากกว่าความยาวของลำตัวเสียอีก เมื่อมีขนาดเล็กผิวด้านบนจะเรียบ และผิวนี้จะขรุขระขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยมีตุ่มแข็งเล็ก ๆ ปกคลุมบริเวณกลางลำตัวจนถึงโคนหาง ตามีขนาดเล็ก หางยาว ปลายหางมีแผ่นริ้วหนังเห็นได้ชัดเจน มีเงี่ยงพิษ 2 ชิ้นที่โคนหาง สีลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ มีความกว้างโดยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 1 เมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 3 เมตร และยาว 1.8 เมตร น้ำหนักกว่า 250 กิโลกรัม
มีจุดเด่นคือ หางที่ยาวมาก โดยที่ความยาวของหางมีมากกว่าความยาวลำตัวถึง 2.5-3 เท่า ซึ่งเมื่อถูกจับ มักจะสะบัดหางด้วยความรุนแรงและเร็วเพื่อแทงเงี่ยงหางเพื่อป้องกันตัว
พบบริเวณชายฝั่งทะเล หรือปากแม่น้ำอย่างกว้างขวาง โดยพบตั้งแต่ทวีปแอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาเหนือ เช่น อียิปต์ และแอฟริกาใต้ เรื่อยไปจนถึงทะเลแดง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงภูมิภาคไมโครนีเซีย และ ออสเตรเลีย รวมถึงญี่ปุ่น โดยมีรายงานพบที่แม่น้ำคงคา ประเทศอินเดีย ที่ห่างจากทะเลถึง 2,200 กิโลเมตร แต่พฤติกรรมในทะเลจะอาศัยอยู่ได้ลึกถึง 60 เมตร
สำหรับในประเทศไทย พบที่ทะเลสาบสงขลาตอนใน ในเขตจังหวัดพัทลุง






 
ปลากระเบนขาว (อังกฤษ: White-edge freshwater whipray) เป็นชื่อปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura signifer อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) รูปร่างเหมือนกระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หางยาว โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่สามารถงอกใหม่ได้เมื่อหลุดหรือหักไป หางไม่มีริ้วหนัง พื้นลำตัวด้านบนสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ มีขอบสีขาวรอบลำตัว พื้นลำตัวด้านล่างสีขาว หากินตามพื้นท้องน้ำโดยอาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดิน และสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง ขนาดโดยเฉลี่ย 40 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 60 เซนติเมตร
เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดที่พบชุกชุมมากที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย พบมากแถบที่ลุ่มเจ้าพระยา เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำท่าจีน, บึงบอระเพ็ด และพบที่แม่น้ำตาปีในภาคใต้ด้วย ในต่างประเทศพบได้ที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย
นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม





 
 ปลากระทิงจุด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus alboguttatus อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลากระทิง (M. armatus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีสีสันและลวดลายที่แตกต่างออกไป มีจุดเป็นวงกลมสีเหลืองหรือเขียวกระจายอยู่ทั่วตัว ครีบหางแยกออกจากครีบหลังและครีบท้องคล้ายสกุลปลาหลด ช่วงท้องสีจาง มีหนามแหลมขนาดเล็กตลอดทั้งลำตัวช่วงบนไว้ป้องกันตัว
มีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร เป็นปลาที่หายาก พบได้น้อย ดังนั้น เมื่อขายในตลาดปลาสวยงาม จะเป็นปลาที่มีราคาสูง โดยจะพบเฉพาะแม่น้ำสาละวินในเขตชายแดนของพม่าที่ติดกับไทยเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบในแม่น้ำสะโตงในเขตประเทศพม่าอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า "ป่าน"




 
 ปลากระทิง (อังกฤษ: Tire track eel) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus armatus อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีลำตัวเรียวยาว แบนข้างเล็กน้อย ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นเชื่อมต่อกัน ด้านหลังมีก้านครีบแข็งสั้นหลายอัน ตาเล็ก ครีบอกใหญ่ หัวมีลายตั้งแต่ปลายจะงอยปากคาดมาที่ตาถึงช่องปิดเหงือก ตัวมีสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลอมเหลือง มีลายสีคล้ำเป็นวงหรือเป็นลายเส้น มีลวดลายหลากหลายแบบ ด้านท้องสีจาง ครีบคล้ำมีจุดประสีเหลืองอ่อน มีขนาดประมาณ 30 - 50 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 80 เซนติเมตร
อาศัยอยู่ในแม่น้ำและแหล่งน้ำนิ่งบริเวณที่มีกิ่งไม้หรือพืชน้ำหนาแน่น พบทุกภาคของประเทศไทยตั้งแต่แม่น้ำตอนล่างถึงบริเวณต้นน้ำลำธาร บริโภคโดยปรุงสด เช่น ย่าง และต้มโคล้ง ซึ่งขึ้นชื่อมาก และทำปลาเค็ม และยังนิยมรวบรวมเพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย
โดยมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "หลาด"







 
 ปลากระดี่หม้อ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster trichopterus ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่นาง (T. microlepis) ซึ่วเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียว กัน แต่กระดี่หม้อมีรูปร่างป้อมกว่า ส่วนท้ายไม่เรียวเล็ก หัวเล็ก ตาเล็ก ปากเล็กอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย ส่วนหลังยกสูงเล็กน้อย ครีบอกเล็ก ครีบท้องเป็นเส้นยาว ครีบหางเว้าตื้นปลายใน เกล็ดมีขนาดใหญ่ ตัวมีสีเทาอมสีฟ้าหรือสีคล้ำตามแนวพาดขวางหรือพาดเฉียง ตลอดลำตัวด้านข้างหลายแถบรวมถึงที่ข้างแก้มกลางลำตัวด้านข้างและโคนครีบหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่แห่งละจุด ครีบก้นมีจุดประสีส้มหรือเหลือง ขอบครีบสีเหลือง ครีบอื่นสีใส ครีบหางใสมีสีประคล้ำ
ขนาดโดยเฉลี่ยมีความยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร พบใหญ่สุดคือ 15 เซนติเมตร
ปลากระดี่หม้อเป็นปลาที่มีสีสันต่างตากหลากหลายกันออกไปตามพันธุกรรมและถิ่นที่อยู่อาศัย จึงมีหลากสีมาก เช่น ปลาที่พบในพื้นที่ภาคใต้จะมีลำตัวสีฟ้าเข้มกว่าปลาที่พบในที่อื่น นอกจากนี้ยังมีที่พบสีออกเหลืองทองหรือออกขาวนวลด้วย แต่ปลาที่พบโดยทั่วไปมักมีลำตัวออกสีน้ำตาลใส
เป็นปลาที่พบได้ในแหล่งน้ำนิ่งทุกภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ จัดเป็นปลาสกุล Trichogaster ที่พบชุกชุมที่สุด
นิยมบริโภคในท้องถิ่น เช่นเดียวกับปลาสลิด (T. pectoralis) และปลากระดี่นาง นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย
มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "กระเดิด" หรือ "เดิด" ภาษาเหนือเรียก "สลาก" หรือ "สลาง" ชื่อในภาษาอังกฤษเรียก ว่า "กระดี่สามจุด" (Three spot gourami) หมายถึง จุดดำสองจุดใหญ่ตามลำตัวและนับลูกตาด้วย ชื่อที่นิยมเรียกกันในแวดวงปลาสวยงามคือ "กระดี่นางฟ้า"




 
 ปลากระดี่มุก ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster leeri ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ (T. trichopterus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียว กัน แต่กระดี่มุกมีลำตัวกว้างกว่าเล็กน้อย ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นมีขนาดใหญ่และมีก้านครีบอ่อนยาวเป็นเส้นริ้ว ลำตัวสีเงินจาง มีแถบสีดำจางพาดยาวไปถึงโคนครีบหาง ท้องมีสีส้มหรือสีจาง และมีจุดกลมสีเงินมุกหรือสีฟ้าเหลือบกระจายไปทั่ว อันเป็นที่มาของชื่อ "กระดี่มุก" ครีบท้องเป็นสีส้มสดหรือสีเหลือง
มีความยาวเต็มที่เฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร
มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่เป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำที่มีค่าของน้ำมีความเป็นกรดต่ำกว่าค่าของน้ำปกติ (ต่ำกว่า 7.0) เช่น ในป่าพรุ เป็นต้น
เป็นปลาจำพวกปลากระดี่ที่พบในธรรมชาติได้น้อยที่สุดในประเทศไทย โดยจะพบในเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น
นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ



 
 ปลากระดี่นาง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster microlepis ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีลำตัวรูปไข่และแบนข้างมาก หลังยกสูงเล็กน้อย ด้านท้ายเรียวเล็ก หัว ตา และปากเล็ก ครีบอกเล็ก ครีบท้องเป็นเส้นยาว ครีบหางเว้าตื้นปลายมน ลำตัวสีเงินนวลเหลือบด้วยสีเขียวและสีฟ้า โดยไม่มีลวดลายใด ๆ ครีบสีจางใส
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวเฉลี่ย 7-14 เซนติเมตร
เป็นปลาที่พบได้ในแหล่งน้ำในภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคตะวันออกของไทย และยังพบได้ในประเทศอื่นในภูมิภาคอินโดจีนอีกด้วย
มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถฮุบอากาศจากผิวน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเหงือก เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะก่อหวอดผสมกับเศษหญ้าหรือพืชไม้ชนิดต่าง ๆ
เป็นปลาที่สามารถใช้บริโภคได้ ในพื้นที่อีสานนิยมบริโภคโดยปรุงสด หรือทำปลาร้า ปลาแห้ง อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย
ด้วยความที่เป็นปลาที่มีสีเงินทั้งลำตัว จึงได้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า "กระดี่แสงจันทร์" (Moonlight gourami, Moonbeam gourami) มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "กระเดิด" หรือ "สลาก" หรือ "สลาง"


 
 ปลากดเหลือง ปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus filamentus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagaridae) มีรูปร่างคล้ายปลากดคัง (H. wyckioides) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีรูปร่างเล็กกว่า สีข้างลำตัวเป็นสีเหลืองจึงเป็นที่ของชื่อ หรืออาจเป็นสีเทาคล้ำ สีท้องจาง ครีบหลังยาวจนถึงครีบไขมัน และครีบไขมันมีสีคล้ำ ขนาดโตเต็มที่ราว 50 เซนติเมตร
พบในแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน เป็นปลาที่ใช้บริโภคโดยการปรุงสด รมควัน และปลาแห้ง และมีการเพาะเลี้ยงในกระชังเหมือนปลากดคัง
นอกจากนี้แล้วยังมีปลากดในสกุลเดียวกันนี้ อีกชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกัน คือ ปลากดขาว (H. nemurus) ซึ่งบางครั้งอาจสับสนกันและเรียกชื่อสามัญตรงกันว่า "ปลากดเหลือง" ด้วย
ซึ่ง 2 ชนิดนั้นยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลากดช่องหลวง", "ปลากดนา", "ปลากดขาว", "ปลากดชงโลง" หรือ "ปลากดคัง" เป็นต้น




 
 ปลากดหัวเสียม เป็นปลาหนังมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sperata acicularis ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีลักษณะสำคัญ คือ ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นยาวมากที่สุดในกลุ่มปลากดทั้งหมด หัวแบนราบเล็กน้อย ลำตัวทรงกระบอก แต่ด้านหลังยกสูง และเรียวไปทางด้านท้าย ตาเล็กอยู่ด้านบนของหัว ริมฝีปากตัดตรงอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก หนวดที่ริมฝีปากยาวมาก ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบไขมันยาวมาก ครีบหางใหญ่เว้าลึก ตัวมีสีเทาอมฟ้า หรือเขียวอ่อน ด้านท้องสีจาง ครีบสีจาง ครีบไขมันมีดวงสีดำเด่น ขอบขาวที่ตอนปลายท้ายสุด ครีบหางมีสีแดงเรื่อ ๆ
ขนาดพบใหญ่สุดถึง 1 เมตร ขนาดที่พบทั่วไป 50 เซนติเมตร จับได้โดยเบ็ดราว ข่ายลอย พบเฉพาะในแม่น้ำสาละวิน และสาขาและแม่น้ำตะนาวศรีในพม่า นิยมบริโภคในท้องถิ่นโดยปรุงสด มักถูกจับขึ้นขายในท้องตลาดของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นครั้งคราว เนื้อมีรสชาติดีพบมีการทำรังวางไข่โดยขุดแอ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร และเลี้ยงลูกอ่อนถึงขนาด 3 – 4 เซนติเมตร หรืออาจจะใหญ่กว่า แต่ตัวผู้หรือตัวเมียเป็นผู้เลี้ยงยังไม่ทราบแน่ชัด รังที่พบอยู่ในระดับความลึกประมาณ 2 เมตร ในเดือนเมษายน ที่แม่น้ำปายมีพื้นเป็นทรายปนโคลนมีกรวดปนและใกล้กับกองหิน
นอกจากนี้แล้ว ปลากดหัวเสียมยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย มีชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า "แก๊ด"

  
 
ปลากดหัวผานมีรูปร่างคล้ายปลากดคัง (Hemibagrus wyckioides) ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์กัน แต่จะมีส่วนหัวที่ยาวและปลายจะงอยปากยื่นแหลมกว่า พื้นลำตัวเป็นสีดำอมน้ำตาล ท้องสีขาว และมีหนวดที่ไม่ยาวเก่าปลากดคัง มีครีบทั้งหมด 8 ครีบ โดยครีบหลังจะยาวใหญ่กว่า เงี่ยงแหลมที่ก้านครีบหลังใหญ่และแหลมคมกว่า ครีบอกมีเงี่ยงขนาดใหญ่แหลมคม ก้านครีบอก ครีบหลัง ครีบท้องสีซีดจาง ครีบไขมันค่อนข้างเล็ก เส้นประสาทข้างลำตัวเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร ใหญ่สุด 80 เซนติเมตร น้ำหนักเต็มที่ประมาณ 6 กิโลกรัม


 
 ปลากดดำ หรือ ปลากดหม้อ (อังกฤษ: Crystal eye catfish, Black diamond catfish) ปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus wyckii
มีรูปร่างค่อนข้างสั้นป้อม หัวและลำตัวตอนหน้าแบนราบกว่าปลาชนิดอื่น ๆ ปากกว้าง ตาค่อนข้างเล็ก ส่วนหลังยกสูง ครีบหลังมีก้านแข็ง ครีบไขมันค่อนข้างยาว หนวดที่ริมฝีปากยาวถึงบริเวณหลัง ตัวมีสีเทาคล้ำหรือดำ ด้านท้องสีจาง ครีบสีคล้ำขอบบนและขอบล่างของครีบหางมีแถบสีขาวเห็นชัดเจน
มีขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ใหญ่สุด 70 เซนติเมตร พบในแม่น้ำสายใหญ่ทุกภาคของประเทศ และพบไปถึงบอร์เนียว เป็นปลากดที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง นิยมบริโภคด้วยการปรุงสดเหมือนปลากดคัง (H. wyckioides) และยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย
ปลากดหม้อ ยังมีชื่อเรียกที่ต่างออกไปเช่น "ปลาสิงห์ดำ", "ปลากดหางดอก" ชื่อที่ใช้เรียกในวงการปลาสวยงามคือ "มรกตดำ" เป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมาก ไม่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้เลย



 
ปลากดแดง (อังกฤษ: Engraved catfish) เป็นปลาหนังน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nemapteryx caelata ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีรูปร่างอ้วนป้อม หัวโตมีหนวด 6 เส้นอยู่รอบปาก ครีบไขมันเล็กมีจุดสีดำ ครีบหลังแหลมยาวเหมือนปลาเทพา ซึ่งเป็นปลาคนละสกุลและคนวงศ์กัน ลำตัวมีสีเทา ครีบหางมีขนาดเล็ก
อาศัยอยู่เป็นฝูง ในชายฝั่งใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลนของเอเชียตะวันออก พบได้ตั้งแต่อินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย จนถึงชายทะเลอินโด-ออสเตรเลีย แต่ไม่พบในฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยชื่อเฉพาะในวงการปลาสวยงามเรียกว่า "ปลากดเทพา" และยังมีชื่ออื่น เช่น "ปลากดหัวโม่ง"




 
 ปลากดคังสาละวิน ปลาหนังชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus microphthalmus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีรูปร่างคล้ายปลากดเหลือง (H. filamentus) และปลากดคัง (H. wyckioides) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียว กันมาก แต่มีส่วนหัวที่แบนราบกว่า และยื่นยาวกว่า ส่วนหลังยกสูง ครีบหลังเป็นก้านแข็ง ปากกว้าง มีหนวดที่ริมฝีปากยาวมากถึงบริเวณครีบก้น ตาเล็กมาก ส่วนหัวมองจากด้านบน ค่อนข้างกว้าง ครีบไขมันยาว ครีบหางใหญ่ และเว้าลึก ตัวมีสีเทาอมฟ้า หรือเขียวมะกอก ด้านท้องสีจาง ครีบมีสีคล้ำ ครีบหางสีคล้ำ ขนาดใหญ่สุดถึง 1 เมตร พบทั่วไป 60 – 70 เซนติเมตร จับได้โดยเบ็ดราว ข่ายลอย และดำน้ำยิงด้วยฉมวก อาศัยในแม่น้ำและลำธารที่ค่อนข้างลึก พบเฉพาะในแม่น้ำสาละวินและสาขา และถูกจับขึ้นขายเป็นครั้งคราวใน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นปลาที่มีรสชาติดี เช่นเดียวกับปลากดขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ และนิยมตกเป็นเกมกีฬา
ในต่างประเทศพบในอินเดียและพม่าในแม่น้ำอิระวดี[2]


 
 ปลากดคัง (อังกฤษ: Asian redtail catfish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Hemibagrus wyckioides) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) ที่มีขนาดโตเต็มที่ราว 1.5 เมตร หนักได้ถึง 100 กิโลกรัม แต่ที่พบโดยเฉลี่ยจะมีขนาดประมาณ 50 - 60 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเทาอ่อนอมฟ้าหรือเขียวมะกอก ท้องสีจาง ครีบหางและครีบอื่น ๆ มีสีแดงสดหรือสีส้มสด ไม่มีแถบขาวบนขอบครีบหางส่วนบนเหมือนปลากดชนิดอื่น ๆ พบในแม่น้ำของไทยทุกภาค และในแหล่งน้ำนิ่งขนาดใหญ่ นิยมนำมาบริโภคโดยการปรุงสด ลวก จิ้ม หรือยำ มีราคาค่อนข้างแพง มีการเพาะเลี้ยงเป็นกระชังอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่บางสาย และยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย
ปลากดคังมีชื่อเรียกอื่น อีกเช่น "ปลากดแก้ว" "ปลากดเขี้ยว" เป็นต้น